เงินยูโรอ่อนค่าเป็นประวัติการณ์ จนล่าสุดมีอัตราแลกเปลี่ยนเท่ากับ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ อะไรเป็นสาเหตุ
เงินยูโรอ่อนค่าลงแค่ไหน เทียบง่ายๆ เมื่อหนึ่งปีที่แล้ว 1 ยูโร สามารถแลกได้ 1.2 ดอลลาร์สหรัฐฯ ขณะที่ต้นปีนี้ 1 ยูโร แลกได้เหลือ 1.13 ดอลลาร์สหรัฐฯ และล่าสุด 1 ยูโร แลกได้ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ เท่านั้น เป็นการอ่อนค่าของเงินยูโรมากสุดในรอบกว่า 20 ปี
สาเหตุที่เงินยูโรอ่อนค่าต่อเนื่องเกิดจาก 3 ปัจจัยหลัก คือ
1. เงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้นในยุโรป
2. การขึ้นดอกเบี้ยของสหรัฐอเมริกา
3. การถดถอยของเศรษฐกิจยุโรป
ทั้งนี้พบว่า เงินเฟ้อของเกือบทุกประเทศในยุโรปถีบตัวสูงขึ้น โดยเฉลี่ยเมื่อเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมาอยู่ที่ระดับ 8.6% บางประเทศอย่างเอสโตเนีย มีอัตราเงินเฟ้อสูงถึง 22% การเพิ่มขึ้นของเงินเฟ้อในยุโรปมีต้นเหตุสาคัญจากราคาพลังงานที่แพงขึ้น ซึ่งเป็นผลกระทบจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน ประเทศในยุโรปส่วนใหญ่พึ่งพาแหล่งพลังงานจากนอกประเทศโดยเฉพาะรัสเซีย จึงถูกกระทบจากราคาพลังงานที่แพงขึ้นอย่างเลี่ยงไม่ได้
การที่เงินเฟ้อเพิ่มขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ขณะเดียวกันก็ไม่มีแนวโน้มลดลงในระยะเวลาอันสั้น ทาให้มูลค่าแท้จริงของเงินยูโรลดลงเรื่อยๆ เงินยูโรจานวนเท่าเดิมซื้อหาสินค้าได้น้อยลงเพราะของทุกอย่างแพงขึ้น คนส่วนใหญ่หากเลือกได้ จึงไม่อยากถือเงินยูโร เงินยูโรจึงมีมูลค่าลดลง สะท้อนในค่าเงินที่อ่อนลง
นอกจากสถานการณ์เงินเฟ้อในยุโรปจะเป็นสาเหตุสาคัญ อีกสาเหตุยังมาจากการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ FED อย่างต่อเนื่องเพื่อต่อสู้กับสงครามเงินเฟ้อในสหรัฐฯ ที่ก็เผชิญปัญหาเงินเฟ้อหนักเหมือนกัน ดอกเบี้ยในสหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้นจูงใจให้เงินทุนไหลออกจากภูมิภาคอื่นของโลกรวมถึงยุโรป เข้าสู่สหรัฐฯ เพราะได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนดีกว่า นักลงทุนจึงเลือกถือเงินดอลลาร์สหรัฐฯ และเลือกละทิ้งเงินยูโร
สุดท้ายผลของราคาพลังงานที่แพงขึ้น เงินเฟ้อสูงขึ้น ต้นทุนวัตถุดิบนาเข้าแพงขึ้นจากอัตราแลกเปลี่ยน ทาให้ต้นทุนการผลิตของทั้งระบบเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น รวมถึงความเป็นไปได้ที่ธนาคารกลางยุโรปต้องขึ้นดอกเบี้ยตาม FED ทาให้เศรษฐกิจยุโรปมีแนวโน้มถดถอยสูง
ผลของสภาวะเงินเฟ้อในยุโรปที่ยังไม่มีทีท่าเบาลง และอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ ที่ FED ส่งสัญญาณว่าจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ตลอดจนการเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยของยุโรป ทาให้เงินดอลลาร์สหรัฐฯ ดูเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัยกว่ายูโร
ทั้งนี้หลายคนอาจมีคาถามว่า สหรัฐอเมริกาก็เผชิญปัญหาเงินเฟ้อสูงเหมือนกัน ทาไมคนยังต้องการถือเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ต้องบอกว่าการจัดการปัญหาเงินเฟ้อที่รวดเร็วกว่าของ FED โดยให้ยาแรง ทั้งขึ้นดอกเบี้ยเร็วและในอัตราที่สูง ช่วยสร้างความมั่นใจให้นักลงทุนมากกว่า ขณะเดียวกันสหรัฐอเมริกาก็รับมือปัญหาราคาพลังงานที่สูงขึ้นได้ดีกว่าทางยุโรปด้วยคาถามถัดมา การอ่อนค่าของเงินยูโรเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ จะจบลงเมื่อไร ต้องบอกว่าสถานการณ์นี้ดูยังไม่มีวี่แววจบลง เพราะราคาพลังงานมีแนวโน้มแพงต่อไป จากความยืดเยื้อของสงครามรัสเซียและยูเครน ขณะเดียวกันแม้ธนาคารกลางยุโรปจะขึ้นดอกเบี้ยบ้าง เพื่อรักษาเงินทุนและอัตราแลกเปลี่ยนให้ผันผวนน้อยลง ทว่าจากการคาดการณ์ เดือนนี้ธนาคารกลางยุโรปน่าจะขึ้นดอกเบี้ยแค่ 0.25% เท่านั้น นับว่ายังห่างจากการขึ้นดอกเบี้ยของ FED เมื่อเดือน มิ.ย. ที่ขึ้นไปถึง 0.75%
ดังนั้น จากปัจจัยทั้งหมดที่กล่าวข้างต้น เชื่อว่าเงินยูโรเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ ยังไม่มีทีท่าจะแข็งขึ้นในเร็ววัน เป็นไปได้มากสุด ยูโรอาจกลับมาแข็งค่าเร็วสุดคือสิ้นปีนี้สาหรับผู้ประกอบการไทยที่ค้าขายกับลูกค้าในยุโรป หรือรับจ่ายเงินในรูปสกุลยูโร #เศรษฐศาสตร์ตลาดสด ขอเตือนว่า ผู้ประกอบการต้องเตรียมรับมือความผันผวนของค่าเงินให้มาก เพราะการอ่อนค่าของยูโร ย่อมหมายถึงรายรับในรูปเงินบาทที่ลดลง เสี่ยงทาให้กาไรน้อยลงหรือเข้าเนื้อผู้ประกอบการได้
ขณะเดียวกันความหวังของธุรกิจท่องเที่ยวในประเทศไทย ที่มุ่งจับกลุ่มลูกค้ายุโรป ปีนี้เสี่ยงได้รับผลกระทบสูง เพราะค่าเงินยูโรที่อ่อนลง หมายถึงต้นทุนในการเดินทางท่องเที่ยวของชาวยุโรปที่สูงขึ้น ชาวยุโรปเสี่ยงเดินทางท่องเที่ยวน้อยลง หรือเปลี่ยนเป็นเที่ยวระยะใกล้ๆ เพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายแทน กระทบธุรกิจท่องเที่ยวในไทยที่หวังฟื้นตัวจากโควิดอย่างเลี่ยงไม่ได้ ในทางตรงข้าม อาจเป็นจังหวะดีของคนไทยที่อยากเดินทางไปเที่ยวยุโรป เพราะสามารถแลกเงินได้ถูกลง
ในยุคที่เศรษฐกิจโลกผันผวน ถดถอย และเงินเฟ้อสูง ประเทศไทยในฐานะที่พึ่งพาเศรษฐกิจโลกมาก ต้องเตรียมรับมือให้ดี
ที่มา : https://news.ch7.com/detail/583485